คุณ จันทร์เพ็ญ เตชา อายุ 48 ปี อาชีพรับราชการ
โรคประจำตัว โรคภูมิแพ้ แพ้ไรฝุ่น โดยจะไอมาก บางครั้งมีหอบหืด
แพ้ยา doxycyclin แพ้อาหารทะเล
14/5/53 มาพบแพทย์ด้วยเรื่องมีอาการคันตามร่างกาย และตาทั้ง สองข้าง 2 ปี อาการเป็นมากขึ้นช่วง 1 เดือน มีอาการปวดหัวร่วมด้วย คัดและคันจมูก สังเกตเวลาใกล้เที่ยงจะมีอาการหนังตาตกทั้งสองข้าง เดินไกลมีอาการเดินเซ แขนและขาขวาไม่มีแรงบางครั้ง ปวดไมเกรนบ่อย ปัจจุบันต้องกินยาภูมิแพ้ทุกวัน ส่วนเรื่องหนังตาตกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล แพทย์บอกเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง จะให้ทำการทดสอบและให้รับการรักษา โดยต้องกินยาตลอดชีวิต
ตรวจร่างกาย
– พบอาการชาครึ่งซีกด้านขวา ตั้งแต่บริเวณใบหน้า แขน และขาขวา
– ไม่พบอาการอ่อนแรงใดใด
– พบจุดกดเจ็บ มีลักษณะแข็งเป็นลำ ที่บ่าและต้นคอ ทั้ง สอง ข้าง
– ไม่พบจุดกดเจ็บที่โพรงไซนัสบริเวณใบหน้า
ส่งเจาะเลือด – ค่าความสมบูรณ์เม็ดเลือด ตับ ไต น้ำตาลในเลือด ไขมัน เก้าท อยู่ในเกณปกติ
วินิจฉัย
– Allerigic eczema (ผื่นคันจากภูมิแพ้)
– Asthma (หอบหืด)
– Myofascial pain syndrome (ผังผืดในกล้ามเนื้อ ที่บ่าและคอ สองข้าง)
– Migraine (อาการปวดหัวไมเกรน)
– Rt hemiparesthesia suspected cerebral infarction or low perfusion brain syndrome (อาการชาร่างกายครึ่งซีก สงสัยภาวะเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองตีบ หรือ เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ)
วิจารณ์
ผู้ป่วยรายนี้มีปัญหาซับซ้อนหลายอย่าง การแก้ไขปัญหาต้องใช้องค์รวม และการร่วมมือจากผู้ป่วยมาก ปัญหาหลัก คือ ปฎิกิริยาภูมิแพ้ในร่างกายทำให้เกิดอาการคัน ไอ หอบหืด หนังตาตก (ในทางการแพทย์ โรคหนังตาตก จากกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia gravis เกิดจากปฎิกิริยาภูมิแพ้ในร่างกายเกิดกับ ตัวรับสัญญาณของระบบประสาท) ปัญหารอง คือ ภาวะเลือดไหลเวียนไม่ดี ไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้เกิดอาการชาครึ่งซีก ขาอ่อนแรงบางครั้ง เวลาเดินไกลๆ มีปวดหัวไมเกรน ซึ่งทั้งสองปัญหาต้องแก้ที่การปฎิบัติตัวของผู้ป่วย การรักษาด้วยยา และ การฝังเข็ม เป็นเพียงตัวเร่งการซ่อมแซมร่างกายให้ร่างกายแก้ไขตัวเอง เร็วขึ้น จุดสำคัญ คือ ต้องไม่ให้ผู้ป่วยกลับมามีอาการอีก
การรักษา
– ให้ผู้ป่วยกินอาหารมังสวิรัติ เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการภูมิแพ้ ส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นเมื่อร่างกายรับสารกระตุ้นภูมิแพ้เข้าร่างกายน้อยลง ซึ่งสารกระตุ้นภูมิแพ้มักพบในโปรตีนจากเนื่อสัตว์ ไข่ นมวัว
– รับประทานน้ำอุ่นแทนน้ำเย็น และให้ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 12 แก้ว โดยในช่วงรับประทานอาหาร ก่อนและหลังอาหาร ครึ่งชั่วโมง ให้ ดื่มน้ำได้เพียง 1 แก้ว เพราะหากดื่มน้ำมากไปในช่วงนี้ จะทำให้น้ำย่อยเจือจาง การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์เกิดแกส และของเสียมาก การดื่มน้ำให้เหมาะสมจะทำให้เลือดไม่ข้นมาก มีการไหลเวียนดีขึ้น เส้นเอ็นอ่อนนุ่มขึ้น
– ให้สมุนไพรล้างสารพิษ ซี่งเกิดจากการกินยาภูมิแพ้มานาน
– ให้หยุดยารักษาภูมิแพ้
– ให้เห็ดหลินจือแคปซูล เพื่อช่วยให้เลือดนำออกซิเจนไปยังสมองและส่วนอื่นได้ดีขึ้น
– ให้ยา แอสไพริน ซึ่งเป็น ยาต้านเกร็ดเลือดใช้สำหรับรักษาโรคเส้นเลือดสมองตีบ และเส้นเลือดหัวใจตีบ เพื่อปรับการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น
– ให้ยาแก้ปวด ที่ไม่ใช่ ergotamine เพราะ ยา ergotamine หรือ cafergot จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดหัวจาก caffeine withdrawl (ภาวะถอนคาเฟอีน) ซึ่งจะทำให้ไม่มีวันหายขาดจากปวดไมเกรนได้
– ใช้การฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อ กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ปรับการไหลเวียนเลือดไปที่สมอง และหนังตาทั้งสองข้าง แก้ไขผังผืดในกล้ามเนื้อ
– สอนผู้ป่วยออกกำลังท่าบริหารเพื่อสลาย และป้องกันการเกิดใหม่ ของผังผืดในกล้ามเนื้อ ที่บ่าและคอ
ผลการรักษา
14/5/53 – 17/6/53 ผู้ป่วยได้รับการฝังเข็มครบ 1 คอร์ส (10 ครั้ง) อาการปวดหัวหายไป อาการหนังตาตกดีขึ้นมาก จากก่อนฝังเข็มจะเริ่มหนังตาตกประมาณ 11 โมงเช้า และช่วงเย็นอาการเป็นมากจนลืมตาไม่ค่อยขึ้น หลังจบคอร์สแรก จะเริ่มมีอาการหนังตาตกประมาณ 4 โมงเย็น และอาการเป็นไม่มาก ตื่นเช้ามาอาการก็หายไปไม่ล้าหนังตาเหมือนเมื่อก่อน อาการภูมิแพ้คัด คันจมูก ไอ เคืองคอ ไม่มีแล้ว หยุดยาภูมิแพ้ที่เคยกินมาตลอด 10 กว่าปีได้อย่างสมบูรณ์
28/6/53- 28/7/53 ได้รับการฝังเข็มอีก 7 ครั้ง อาการทุกอย่างหายสนิท ไม่มีอาการหนังตาตกอีก ไม่มีอาการภูมิแพ้ใดใดอีก ไม่ปวดหัว ไม่มีอาการอ่อนแรง สามารถหยุดยาได้ทุกตัว ปัจจุบันไม่ต้องกินยาใดใด
แนะนำให้กลับมาฝังเข็มกระตุ้นเดือนละ 1 ครั้ง หรือเร็วกว่านั้น หากเริ่มมีอาการกลับมา
20/8/53 กลับมาฝังเข็มกระตุ้น 1 ครั้ง อาการทุกอย่างปกติ
20/9/53 กลับมาฝังเข็มกระตุ้น 1 ครั้ง ก่อนฝังเข็มครั้งนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยบอกว่าไม่สบายเป็นไข้หวัด อาการหนังตาตก กลับมาเล็กน้อย มีอาการช่วงเที่ยง-เย็น เป็นไม่มาก พอหวัดหาย อาการดังกล่าว ก็หายไป ไม่มีอาการปวดหัว หรือชา หรือ อ่อนแรงใดใด
รูปภาพผู้ป่วย
ขอขอบคุณ คุณจันทร์เพ็ญ เตชา ที่อนุญาตให้เผยแพร่ประวัติการเจ็บป่วย และการรักษา ในwww.aaclinic.com นี้ เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้สนใจและผู้ป่วยท่านอื่นๆ ต่อไป